"ต้นป่าช้าเหงา"สมุนไพรไทยดังไกลไปทั่วโลกหลังสามารถช่วยรักษาได้สารพัดโรค
หลายๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับสมุรไพรพื้นบ้าน"ต้นป่าช้าเหงา" ที่คุณ "เมย์วิสาข์"ได้นำข้อมูลมาเรียบเรียงให้ฟังอย่างน่าสนใจดังนี้ (ชื่ออื่นๆหนานเฉาเหว่ย, หนานเฟยเฉา, หนานเฟยซู่, ป่าเฮ่วหมอง, บิสมิลลาฮ(Bismillah))
เป็นต้นไม้ที่เด่นดังโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าชื่อผมจะฟังไม่ไพเราะแต่ก็มีความหมายเป็นมงคลกับคนที่ยังไม่ตาย ชื่อวนเวียนแถวๆ ป่าช้าเพราะคำว่า ป่าช้าเหงา ก็หมายถึงไม่มีคนตายเข้าป่าช้า คำว่า "ป่าเฮ่ว"ก็เป็นภาษาล้านนา และไทใหญ่ แปลว่า ป่าช้าเช่นกันและสำหรับคนจีนจะรู้จักผมในชื่อ หนานเฉาเหว่ย เป็นอย่างดี สำหรับ 3จังหวัดภาคใต้ก็เรียกว่า บิสมิลลาฮ (เป็นภาษาอาหรับ)
ชาวโลกรู้จักตั้งแต่ แอฟริกาที่เค้าใช้กินเป็นผักและใช้รักษาโรคมาเลเรีย,ที่อเมริกาก็ขายเป็นยาเพิ่มภูมิคุ้มกัน เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม เบาหวานและต่อมลูกหมาก รวมทั้งควบคุมน้ำตาล ที่พม่าและมาเลเซียก็รู้จักแต่ดังจากเมืองจีนก่อนจะมาดังในเมืองไทยไม่นานแม้ว่าก่อนหน้านี้มีแต่พ่อหมอไทใหญ่เขาใช้แก้โหลง คือ ยาแก้พิษสำหรับชาวกะเหรี่ยงจะใช้เป็นยาแก้หวัด และเรียกยาแก้ขม ทั้งๆที่ใบขมมากๆ ส่วนตำหรับยาล้านนาใช้รักษาโรคเรื้อรังที่เรียกว่า โรคสานคือโรคที่มีก้อนเนื้อผิดปกติรวมทั้งฝีต่างๆ และโรคขางคือแผลเปื่อยเรื้อรังตามอวัยวะต่างๆ
ภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่สุดคือถูกจัดเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาก เพราะตั้งแต่ปี 2547ที่ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดทำโครงการ "ชลอวัยไกลโรค"ได้สืบหาสมุนไพรสำหรับผู้สูงอายุ ก็ได้พบผมที่ "บ้านสามขา"จังหวัดลำปาง เริ่มวิจัย จัดทำข้อมูล สรรพคุณพบว่าป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายโดยอัลฟาท็อกซินป้องกันสารพิษไม่ให้ตับเสียจากเบาหวาน และไตวาย ปัจจุบันมีขายทั้งต้นสด แห้ง และแบบผง
สุภาษิต "ขมเป็นยา" ใช้ได้ตรงกับสมุนไพรตัวนี้เคี้ยวใบสดก็ขม แต่หลังจากอมแล้วกลืนจะรู้สึกหวานคอ แต่ถ้าหากใช้ใบสด4-5 ใบ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร 3 เวลาหรือตากใบแห้งทำเป็นผงชาชงก็ลดความขมได้หรือสะดวกซื้อที่เป็นแคปซูลจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะได้ไม่ต้องทนขม ถ้าอยากจะปลูกก็แค่เสียบกิ่งปักดิน 1 เดือน ได้กินรับรอง เก๊าต์ เบาหวาน ความดัน ไม่เข้ามาใกล้เลย
แต่…แหม! ถ้าปลูกไว้ที่บ้านทุกคนแล้ว ทนเคี้ยว-กลืนต้ม-ดื่ม ลืมคำว่าขม รับรองป่าช้าเหงา กลัวแต่ว่า "สัปเหร่อตกงาน"แน่ๆ